27 May 2012

Claiming your Apple product

เมื่อวันศุกร์เอา iPad 2 ของตัวเองไปเคลมที่ศูนย์แมคอินทอชเซ็นเตอร์ที่สยามดิสคัฟเวอรีมาครับ ปัญหาเพราะจอมีแสงลอด ซึ่งจริงๆ มันมีมาตั้งแต่ซื้อแล้วแหละ แต่ก็ใช้มาแบบไม่ได้คิดอะไร จนประกันใกล้จะหมด เลยคิดว่าไปเอาเครื่องใหม่ดีกว่า 555

ระหว่างรอเจ้าหน้าที่เค้ากรอกข้อมูล (ดูอาวุโสพอสมควร อาจจะเป็นหัวหน้าหรือไม่ก็ผู้จัดการสาขา) ก็เลยลองถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องประกันสินค้าแอปเปิลมาพอสมควร เลยเอามาใส่ในนี้เผื่อใครอยากรู้

สินค้าแอปเปิลทั้งหมดยกเว้น iPhone จะประกน worldwide ครับ นั่นคือเอาเครื่องไปเคลมที่ประเทศไหนก็ได้ในโลก ระบบจะตรวจสอบ serial number ได้เอง แต่แน่นอนว่าต้องรอประมาณ 1 อาทิตย์ถึงจะได้เครื่องใหม่ ดังนั้นถ้าไปเที่ยวต่างประเทศไม่กี่วันนี่ก็กลับมาเคลมที่ไทยดีกว่าครับ

แมคอินทอชเซ็นเตอร์นี่ถือเป็นตัวแทนส่งซ่อมโดยถูกต้องของแอปเปิล (เข้าใจว่ามีของ iStudio อีกเจ้า) รับเคลบมสินค้าทุกอย่าง ยกเว้น iPhone ที่ซื้อมาจากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ที่ซื้อมาจากไหนก็ต้องไปเคลมที่ศูนย์ของเจ้านั้น ส่วน iPhone ที่สั่งจาก Apple Online Store ของไทย (ย้ำว่าของไทยเท่านั้น!) ถึงจะมาเคลมที่แมคเซ็นเตอร์นี่ได้ พวกเครื่องนอกทั้งหลายก็หมดสิทธิ์

อาการปกติที่เจอพวกปุ่ม home กดไม่ติด กล้องเสีย จอแสงลอด - มี dead pixel นี่สามารถเคลมได้ทันทีเลย ส่วนอาการอื่นๆ ต้องส่งเรื่อง-รูปให้ Apple ตัดสินใจ ซึ่งก็จะใช้เวลาเพิ่มอีกวัน แต่ระหว่างนั้นก็ไม่ต้องทิ้งเครื่องไว้ เอามาใช้ได้ แต่ถ้าเคลมได้แล้วต้องทิ้งเครื่องไว้ สงสัยจะกันไม่ให้เอาไปใช้ปู้ยี่ปู้ยำจนพัง (เพราะจะได้เครื่องใหม่แล้วนี่ :P)

เครื่องที่ได้มาจากการเคลมอาจจะเป็นเครื่องใหม่จากสายการผลิต ที่เอามาใช้เป็นเครื่องเคลมโดยเฉพาะ หรืออาจจะเป็นเครื่อง refurbished ก็ได้ ซึ่งต้องลุ้นเอา ทางแมคเซ็นเตอร์เองก็ไม่รู้ว่าเครื่องไหนบ้างที่เป็นเครื่องใหม่ หรือ refurbished ส่วนตัวเข้าใจว่าถ้าเครื่องรุ่นนั้นเลิกผลิตไปแล้วโอกาสได้เครื่อง refurbished ก็มีสูง

ถ้าเอาเครื่องไปเคลมก่อนที่จะหมดประกัน เครื่องที่ได้มาใหม่จะได้ประกัน 60 วัน นับจากวันที่ได้รับเครื่อง ซึ่งถือว่าคุ้มเหมือนกัน หมายความว่าไปเคลมเอาเครื่องใหม่มาวันที่จะหมดประกันพอดี ก็จะได้ประกันต่ออีกสองเดือน

ศูนย์ในไทยทั้งหมดขึ้นกับ Apple Singapore เครื่องใหม่ที่จะได้ก็จะมาจากสิงคโปร์นี่ล่ะ ส่วนของ AIS-Dtac-True นี่ไม่แน่ใจ แต่เค้าบอกว่าระบบการส่งซ่อมเหมือนกันทั้งหมด ก็น่าจะจากสิงคโปร์นี่ล่ะมั้ง

ประเด็นหลักๆ ก็ประมาณนี้ ถ้าสงสัยอะไรเพิ่มเติมก็ถามมาในคอมเมนต์ได้นะ เดี๋ยวตอนไปรับเครื่อง (รอประมาณ 1 อาทิตย์อย่างที่บอกไป) จะไปถามเค้าอีกรอบ

ปล. ตอนแรกที่จะไปเคลมนี่เพราะว่าอาการจอเป็นจุด (เหมือนโดนนิ้วจิ้ม) แต่ปรากฏว่าต้องถ่ายรูปส่งไปให้ Apple ตัดสินใจ เลยบอกเค้าไปว่าจอมีแสงลอดด้วย เลยเคลมได้ทันทีเลย

ปล2. เจ้าหน้าที่แม่งถ่ายรูปเคลมด้วย iPhone เปรี้ยวมาก

20 March 2012

1 ปีกับ Windows Phone


ใช้ Windows Phone มาครบ 1 ปี มีทั้งจุดที่ชอบและไม่ชอบ เลยน่าจะเอามาโพสไว้ให้สำหรับคนที่กำลังจะซื้อมือถือตัดสินใจ เพราะได้ข่าวว่า Nokia Lumia จะเข้ามาขายในไทยแล้ว

จุดดี
  •  ใช้งานง่ายมาก ทั้งระบบทำงานสอดคล้องกัน การสั่งงานแบบเดียวกันทั้งหมด กด back เป็น back กด Home เป็น Home
  • การทำงานโดยรวมเสถียรดีมาก อาการค้างยังไม่เคยเจอ และอาการหน่วงแทบไม่มีให้เห็นแล้ว
  • แอพโดยส่วนใหญ่ออกแบบได้ดีมาก เทียบกับแพลตฟอร์มอื่นแล้วเห็นถึงความตั้งใจ
  • Live Tiles มันคือการออกแบบที่เหมาะสมแล้ว เนื้อหาจะถูกส่งมาให้ผู้ใช้เอง โดยที่ไม่ต้องเข้าแอพ แบบ iOS
  • People Hub ที่รวม Facebook กับ Twitter เข้ามาด้วยกันก็ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้น พอ link account แล้วรูปโปรไฟล์จะอัพเดทเป็นปัจจุบันให้ด้วย
  • Group contacts นี่เรียกว่า Killing features ได้เลย ทำให้เราติดต่อ/ติดตามความเคลื่อนไหวของคนที่เราสนิท หรือสนใจเป็นพิเศษได้
  • Messaging Hub แชทกับ WLM/Facebook chat ได้ ที่ชอบที่สุดคือสลับแชทไปมาระหว่าง SMS<->IM แล้วมันจะรวมอยู่ในเธรดเดียว
  • Microsoft Office Mobile ถึงจะไม่ได้ใช้งานจริงจังเท่าไหร่ แต่ก็ตอบสนองความต้องการได้ดี น่าเสียดายที่มัน Video out ไม่ได้ ไม่งั้นจะเทพมาก
  • Toast notification ดีกว่า iOS และ Android แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน (ดูด้านล่าง)
  • ปุ่มกล้องมันสะดวกจริงๆ นะ
จุดด้อย
  •  ไม่รองรับภาษาไทย เป็นจุดที่ขัดใจที่สุด ใน browser ไม่ตัดคำให้ บางเว็บไม่แสดงผลเลย บางแอพก็ใช้งานไม่ได้ แถมคีย์บอร์ดที่มีให้ก็ดันไปทับตารางตัวอักษรเดิม กลายเป็นว่าสัญลักษณ์บางตัวกลายเป็นตัวอักษรไทยไปอีก
  • Multitasking จะว่าแย่ก็ไม่ถูก แต่ข้อจำกัดมันเยอะไปหน่อย รันได้สูงสุดแค่ 5 แอพ (แต่เห็นว่าจะเพิ่มเป็น 8 แล้ว) แล้วการเรียกใช้งานก็ค่อนข้างสับสนในช่วงแรกๆ ต้องกด back หรือ hold back ถึงจะใช้ resume ได้ ถ้ากด home จะเริ่มแอพใหม่
  • Marketplace ที่เข้าขั้นห่วย แถมระบบอัพเดทแอพก็ไม่ค่อยเสถียร บางทีก็ไม่ขึ้นให้อัพเดททั้งที่เลขเวอร์ชันมันต่างกับที่อยู่ในเครื่อง
  • Bing นี่ก็ใช้งานในไทยได้ไม่เต็มที่ Local scout ไม่มี หาสถานที่ก็ไม่ค่อยจะเจอ web search นี่ไม่ต้องพูดถึง
ที่จริงแล้วข้อดีมีมากกว่านี้ แต่ใช้แล้วไม่ได้รู้สึกว่ามีประโยชน์ตอนใช้งาน เลยไม่ได้ใส่มาด้วย เพราะแค่นี้ก็โฆษณาจนแทบจะเป็น brand Ambassador อยู่แล้ว :P

ปล. กำลังจะซื้อ iPhone เดี๋ยวมาว่ากันอีกรอบว่าทำไมถึงเลือกที่จะก้าวเข้าสู่ความเป็นสาวก

07 February 2012

Experience in Hong Kong

เพิ่งกลับมาจากฮ่องกงวันนี้ครับ เป็นประสบการณ์ backpack ครั้งแรกในชีวิต เลยรู้สึกว่าน่าจะจดความทรงจำไว้ซะหน่อย เผื่อมีใครอยากไปเที่ยว

  • เป็นเมืองที่เจริญมาก + คนเยอะมาก
  • ชีวิตประจำวันเริ่มช้ากว่าในไทย กว่าจะเริ่มเห็นคนเดินบนถนนก็ 8 โมง แต่ก็ดึกกว่าด้วย ห้าง/ร้านค้าปิด 5 ทุ่ม แต่บางร้านก็ถึงเที่ยงคืน
  • ทำให้ตอนกลางคืนไฟสว่างมาก-มากที่สุด ดูๆ ไปแล้วยังกับกลางวัน สามารถเดินอ่านหนังสือบนฟุตบาทได้เลย
  • ผู้คนดูหน้าตาไม่ได้ยิ้มแย้มแบบเมืองไทย ดูเร่งรีบ แต่ส่วนใหญ่ก็พร้อมจะช่วยถ้ามีปัญหานะ 
  • ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยได้ถามคนท้องถิ่นหรอก เพราะระบบ accessibility มันดีมากถึงมากที่สุด
  • และคนส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษได้ดี และป้ายเกือบทุกอย่างก็จะมีภาษาอังกฤษกำกับไว้เสมอ
  • MTR ครอบคลุมแทบจะทุกส่วนของเมือง สายเดินรถค่อนข้างซับซ้อน สถานีก็ซับซ้อน แต่ป้ายบอกทางก็ชัดเจนดี โอกาสหลงในสถานีน้อยมาก
  • รถที่วิ่งอยู่ในฮ่องกง ถ้าไม่นับแท็กซี่ (ซึ่งเยอะมากกก) กับรถเมล์ แล้ว ยานยนต์บนถนนมีแต่แบบหรูๆ ทั้งนั้น Mercedez S-Class หรือ BMW 7-Series นี่เกลื่อนถนน Audi, Porsche, Maserati, Ferrari หรือยี่ห้อหรูอื่นๆ ก็หาได้ไม่ยากเลย
  • Skywalk ในเขต Central ยาวกว่าแถวสยาม-เซ็นทรัลเวิร์ดประมาณ 10 เท่าได้
  • Octopus Card โคตรครอบจักรวาล (ไม่ไร้กิ๊กก๊อกเหมือน Smart Purse) ใช้ได้ตั้งแต่ MTR รถเมล์ เรือข้ามฟาก ร้านสะดวกซื้อ หรือพวก Kiosk
  • ไปอยู่สี่วันนี่ใช้จ่ายผ่านบัตร Octopus ไปราวๆ HK$400 แถมเติมเงินได้สะดวก เพราะมีตู้อยู่ทุกสถานี MTR
  • คนเดินขึ้นบันไดเลื่อนชิดขวา! เหมือนที่เมืองไทยพยายามรณรงค์กันอยู่ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสำเร็จชาติหน้า
  • เดินชน หรือเหยียบเท้ากันเป็นเรื่องปกติ ไม่ถือสา (เสียเวลาหากิน) ซึ่งส่วนมากผมเป็นฝ่ายไปเดินชนน่ะแหละ ...ถ้าเทียบกับเมืองไทยแล้ว เหยียบเท้ากันที หันมาเขม่นยังกับเพิ่งฆ่าพ่อล่อแม่กันมา เดินชนกระเป๋าที (โดยเฉพาะคุณผู้หญิง) หันมาเขม่นเหมือนกูไปข่มขืนมึงท้องลูกแฝดสามกำลังจะคลอด ฮึ่ม...
  • ไม่มีสะพานลอย มีแต่ทางม้าลาย ไม่งั้นก็เดินผ่านสถานี MTR
  • ทางม้าลายจะมีป้ายไฟคนเดินข้ามทุกที และคนก็จะหยุดรอสัญญาณไฟ (ถ้าแถวในเมืองก็จะไม่ค่อยมีคนแหกกฎเท่าไหร่ แต่แถบอื่นก็เห็นประปราย)
  • รถจอดตรงเส้นหยุดรถตรงแยกได้พอดีเป๊ะอย่างไม่น่าเชื่อ! ไม่เคยเจอคันไหนหยุดรถเลยเส้นเกิน 1 ฟุตเลย และยังไม่เคยเจอรถฝ่าไฟแดง (เข้าใจว่าโทษปรับคงหนักน่าดู)
  • สูบบุหรี่ในสถานที่ห้ามสูบโทษร้ายแรงมาก คือประมาณ HK$5000 ทิ้งขยะรู้สึกจะปรับเงิน HK$1500 (หรือสลับกัน?)
  • แต่บนถนนทั่วไปจะได้กลิ่นบุหรี่ตลอดเวลา คนที่นั่นสูบกันเยอะมาก
  • ผู้หญิงสูบบุหรี่เยอะมาก และเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ คือเห็นคู่ที่ผู้ชายไม่สูบแต่ผู้หญิงสูบ (ไม่แน่ใจว่าใช่ แต่ปกติก็น่าจะสูบพร้อมๆ กัน หรือถ้าคนนึงสูบอีกคนได้กลิ่นก็อาจจะเกิดอาการอยากสูบด้วย?)
  • ...อย่างที่ @eig บอก ผู้หญิงน่ารักเยอะมากกกกก คือสามารถเจอผู้หญิงที่น่ารักขนาดที่ทำให้มองตามได้ทุกๆ 15 วิฯ หมวย ขาว ตรงสเป็กกันแทบทั้งนั้น
  • อาหารถือว่ามาตรฐานสูงกว่าในกรุงเทพฯ จากที่ส่วนใหญ่สุ่มๆ เข้าร้านโดยดูจากเมนูที่วางหน้าร้าน รสชาติก็ใช้ได้หมด
  • อาหารราคาต่อมื้อแพงกว่าไทยประมาณ 2-3 เท่า ถ้าเดินเข้าร้านอาหารก็ตกมื้อละ HK$50-100 ถ้าภัตาคารก็ HK$200+ แต่ร้านริมถนนส่วนใหญ่ไม่เกิน $25-30 และบางร้านจะมีเป็นเซ็ตมาให้อยู่แล้ว
  • พุดดิ้งมะม่วงอร่อยเหนือสามโลก อยู่บล็อกติดกับ Guest house ที่ไปพักเลย ถ้วยละ HK$24 ถือว่าไม่แพงมาก
  • น้ำขวดค่อนข้างแพง ขวดเล็ก 600cc ราคา HK$6 1.5 ลิตร HK$10
  • มีเบียร์ Carlsberg ขาย!!! ราคาพอๆ กับ Chang และ Sapporo ราคาเท่า Heineken (ที่ไทยขายกระป๋องละ 150 มั้ง)
  • จะว่าไปเบียร์ไม่ได้แพงกว่าน้ำขวดเท่าไหร่เลยนะ กระป๋องละประมาณ HK$7-8
  • Supermarket จะไม่ให้ถุงนะ ต้องเอาถุงไปเอง
  • ห้างสรรพสินค้าใหญ่เวอร์แทบทุกที่ คือถ้าไม่ได้กว้างเป็นกิโลฯเหมือน CTW เช่น ifc Mall ก็จะสูง 10++ ชั้น แบบ Langham Place หรือ iSquare
  • สินค้าในห้างราคาก็ไม่ได้ต่างเมืองไทยเท่าไหร่ ต้องไปตอนที่ลดราคา หรือพวก Outlet Store/Mall
  • ซึ่งก็ต้องดูอีกน่ะแหละ เพราะตอนไป Outlet Mall ที่ Tung Chung ก็แพงกว่า Store แถวๆ Mong Kok
  • Victoria Peak ไม่ได้ Peak สมชื่อ เพราะมองไปข้างๆ ก็เจอเขาที่สูงกว่า แต่วิวข้างบนดีจริงจัง ถ้าไม่ติดว่าลมแรงจนหนาว คงจะอยู่ดูวิวได้เป็นชม.
  • มือถือเป็น iPhone ซะ 80% ที่เหลือก็ Samsung Sony Ericsson HTC ปนๆ กัน แต่พวก feature phone แทบจะไม่เห็นคนใช้เลย
  • สนามบินออกแบบได้เข้าถึงง่ายกว่าสุวรรณภูมิมาก เดินออกมาจาก arriving gate ก็ถึง Airport Express เลย ไม่ต้องเดินขึ้นลงอะไรวุ่นวาย
  • ห้องน้ำตามห้าง หรือที่สาธารณะสะอาดมาก ที่เดียวที่เจอว่าห้องน้ำไม่ค่อยสะอาดคือท่าเรือข้ามฟาก
  •  และอื่นๆ ...ถ้านึกออกเดี๋ยวจะมาเพิ่ม
 ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่สนุกมากครั้งนึง มีโอกาสจะไปเที่ยวอีกรอบแน่นอน!

ปล. รูปจะมาแปะเพิ่มให้ทีหลัง ตอนนี้หมดแรงอัพ+แต่ง แล้ว
ปล.2 เจ็บคอตั้งแต่คืนก่อนไป แล้วก็เที่ยวทั้งๆ ที่ยังเจ็บคออยู่อย่างงั้น แล้วก็กินยาปฏิชีวนะกดไว้ ซึ่งก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย เพราะเที่ยวเต็มที่มาก หงุดหงิดตัวเองเหมือนกันที่หาโรคมาใส่ตัว (รู้ตัวว่าไปติดมาจากไหน) กลับมาวันนี้ได้น้ำมูกเพิ่มมาอีกอย่าง