26 October 2013

One Shot: Part 2: Bergen

Bergen จากบนเขา Fløyen
มีโอกาสไปนอร์เวย์แล้ว Bergen ก็เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้ ถึงเมืองจะเล็ก (เดินเที่ยววันเดียวก็ทั่วเมืองแล้ว) แต่ค่าใช้จ่ายไม่ได้เล็กตาม ไปแค่สามวันสองคืนหมดค่าเดินทางกับโรงแรม hostel + Fjord tour ไปหมื่นห้า ไม่รวมค่าอาหารและอื่นๆ เป็นการเที่ยวที่แพงที่สุดในชีวิตเลย ToT

อาคารสำนักงานบน C. Sundts gate ริมอ่าว Vågen
สิ่งที่ต้องเตรียมตัวในการไปเที่ยว Bergen คือเครื่องแต่งกาย เพราะอากาศของเมืองนี้แปรปรวนมาก วันนึงฝนตกสลับกับแดดออกได้ 5-6 ครั้ง หรืออาจจะมีฝนตกติดต่อกัน 3 วัน เป็นเมืองที่มีปริมาณฝนตกสูงมาก เพราะด้านหนึ่งเป็นทะเล และอีกด้านเป็นภูเขา ทำให้เมฆที่ลอยต่ำมาจากทางทะเลผ่านภูเขาไปไม่ได้ กลายเป็นฝนตกลงในตัวเมือง

Bryggen
Bryggen at night
Bryggen เป็นท่าเรือเก่าที่ถูกสร้างขึ้นมาเกือบพันปีที่แล้ว พร้อมๆ กับการตั้งเมือง (เป็น UNESCO World Heritage Site ด้วย) เมื่อก่อนถือเป็นศูนย์กลางการค้าขายของเมือง แต่เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร พิพธภัณฑ์ ฯลฯ อาคารทั้งหมดสร้างด้วยไม้ เลยทำให้เกิดไฟไหม้ไปหลายรอบ แต่ก็ถูกบูรณะและรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ อาคารบางหลังก็เอียงจนต้องเอาไม้มาค้ำยันไว้

Fisketorget
ไม่ได้ถ่ายรูปตลาดมา เอารูปคนอื่นไปดูแล้วกัน
ตลาดปลาของเมือง เป็นแหล่งท่องเที่ยว + จุดนัดพบสำคัญ แล้วก็น่าจะเป็นแหล่งที่หากินเนื้อวาฬ (ขออภัยสมาชิก Greenpeace) หรือปูอลาสก้า และสุดยอดอาหารทะเลทั้งหลายได้ง่ายที่สุดในนอร์เวย์ แต่ราคาก็ไม่ได้ถูกกว่ากินในภัตตาคารเท่าไหร่อะนะ ส่วนใหญ่จานนึงก็ 200NOK อัพ

ไหนๆ ก็เล่าถึงเนื้อวาฬแล้วก็ขยายเรื่องการล่าวาฬในนอร์เวย์หน่อยแล้วกัน เมื่อก่อนเนื้อวาฬได้รับความนิยมมาก เพราะหลังจากสงครามโลกคนนอร์เวย์ส่วนใหญ่ยังอดอยาก การ "เลี้ยง" วัวเพื่อกินเนื้อก็สิ้นเปลืองทรัพยากรและเวลากว่าการ "ล่า" วาฬมาก แถมนอกจากเนื้อจะเอามากินแล้วไขมันวาฬยังเอามาทำเทียน กระดูกก็เอามาทำเครื่องใช้ได้หลายอย่าง จนตอนหลังมีการสำรวจประชากรวาฬแล้วพบว่าลดลงแบบฮวบฮาบ ทำให้เกิดกระแสการต่อต้านการล่าวาฬในหลายประเทศ แถมการปศุสัตว์ก็พัฒนาขึ้น เนื้อวัวหากินได้ง่ายและราคาไม่แพง การล่าวาฬตอนนี้เลยทำไปเพื่อการ "วิจัย" (เค้าอ้างว่างี้อะนะ) และจำนวนที่ถูกล่าก็น้อยลงเรื่อยๆ เท่าที่คุยมา ทุกวันนี้จำนวนวาฬที่ถูกล่าก็น้อยกว่าข้อตกลงระหว่างประเทศแล้ว (ถ้าจำไม่ผิดจะน้อยกว่าพันตัว จากที่ถูกจำกัดไว้ 1500 ตัวต่อปี)

สเต๊กเนื้อวาฬ กับสลัด (ปูอลาสก้า ปูอัด กุ้ง กับแซลมอนรมควัน)
ทุกวันนี้หาเนื้อวาฬกินค่อนข้างยาก (แม้แต่ในนอร์เวย์เองก็ตาม) และราคาก็แพง ในภัตตาคาร (น่าจะเล่าไปตอนก่อนแล้วว่านอร์เวย์ไม่มีร้านอาหารริมถนนแบบเมืองไทย ทุกร้านเข้าข่ายเป็นภัตตาคารหมด) จานนึงราคาไม่ต่ำกว่า 300NOK ก็เลยเป็นโอกาสดีที่จะได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์แปลกๆ แบบนี้ใน Bergen มา Fisketorget ต้องขอจัดซักหน่อย เดินหาอยู่หลายร้านเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะขายเป็นเซ็ทรวมกับอาหารทะเลอื่นๆ เดินเกือบทั่วตลาดกว่าจะเจอร้านที่ราคาพอสู้ไหว สเต๊กที่อยู่ในรูปนี่ถูกกว่าสลัดที่อยู่ข้างๆ อีก (สเต๊ก 100NOK สลัด 120NOK) ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ พอกินแล้วก็ต้องบอกว่า น้ำตาแทบไหล เพราะอร่อยมาก! ได้สัมผัสเหมือนเนื้อวัว (อย่าลืมว่าวาฬเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) แต่นุ่มกว่า ไม่เหนียว แล้วก็ไม่มีไขมันเลย อยากกินอีก!!!

Fløyen
จุดชมวิว
เป็นจุดชมวิวของเมือง ต้องอยู่บนเขา Fløyen ซึ่งเป็น 1 ในเจ็ดภูเขาที่ล้อมรอบเมือง Bergen วิธีขึ้นมาสองทาง คือรถเคเบิล (แบบเดียวกับฮ่องกง) 1 เที่ยว 40NOK ไปกลับไม่มีลดราคา ซื้อเที่ยวเดียวก่อน แล้วจะซื้อขาลงอีกทีก็ได้ หรือจะเดินขึ้นเขาก็จะใช้เวลาราวๆ 1 ชม. แต่แนะนำว่าเข้ารถเคเบิลแล้วเดินลงจะเหมาะที่สุด เพราะทางเดินลงก็ผ่านป่าบนเขา สวยไปอีกแบบ
ตลอดทางเดินลงจาก Fløyen จะเจอป่าแบบนี้

ตอนเดินลงจะสวนกับนักวิ่งหรือนักปั่นที่มาออกกำลังเป็นกลุ่มๆ

ทางน้ำไหลสะอาดมาก เพราะเป็นแหล่งน้ำของเมือง
แหล่งน้ำของเมืองก็มาจากธารน้ำที่อยู่บนภูเขา ทางเดินลงมาจาก Fløyen ก็จะเจอกับป้ายห้ามยุ่งกับธารน้ำพวกนี้ตลอดทาง ถ้าไปทำให้น้ำสกปรกละก็อาจจะได้ไปนอนคุกเอาง่ายๆ

Festplassen
สวนสาธารณะกลางเมือง
สวนสาธารณะ + ทะเลสาบกลางเมือง เดินวนรอบนึง ชิลมาก~

จริงๆ Bergen ยังที่สถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่เลย แต่พอดีว่าไม่มีเวลา + ราคาก็ค่อนข้างโหด อย่าง Akvariet i Bergen (Bergen Aquarium) หรือ Ulriken643 ที่เป็นจุดชมวิวอีกที่ของเมือง อยู่บนเขาสูงขึ้นไป 643 เมตร จากระดับน้ำทะเล (ตามชื่อ)

แต่ได้ไปกินอาหารไทยหลังจากที่ไม่ได้กินมาสองอาทิตย์แทน (แม่ของเพื่อนที่ออฟฟิศมาอยู่ที่นี่) ซึ่งก็นับว่าคุ้มครับ เพราะได้ไปคุยกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ใน Bergen ได้ไปดูบ้านคนคนที่นั่น เป็นประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปคงไม่ได้สัมผัส

วิว Askøybroen (Askøy bridge) จาก Oskvik
กินอาหารไทย แกล้มด้วยเบียร์ และจบด้วยไพ่ Poker

เที่ยว Fjord คงต้องไปไว้ตอนหน้าล่ะนะ

06 October 2013

One shot. Part 1.5: Sighting Oslo

ออสโลเป็นเมืองที่เล็ก สถานที่ท่องเที่ยวเลยน้อยตามไปด้วย เที่ยวไม่เกินสามวันก็น่าจะไปได้ครบหมดทุกที่
Sentralstasjon สถานีรถไฟกลางของออสโล
จุดศูนย์กลางเมืองก็จะเป็นแถว Jernbanetorget หรือก็คือตรงหน้าสถานีรถไฟ Sentralstasjon รถเมล์ - รถราง - รถไฟใต้ดิน จะผ่านที่นี่เกือบทุกสาย แล้วตรงถนนฝั่งตรงข้ามสถานีก็เป็นถนนคนเดิน + ช็อปปิ้ง เส้นสำคัญของเมืองด้วย

Karl Johans Gate - Stortinget - Nationaltheatret - Kongehuset
Karl Johans Gate ถ้าเป็นวันหยุดในฤดูร้อนคนจะเยอะโคตรๆ
ถนนคนเดินเส้นนี้เริ่มจากหน้าสถานีรถไฟไปจนถึงพระราชวัง ถ้าไม่ได้มาเดินนี่ไม่ถือว่ามาถึงออสโล เพราะนอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ทั้งสองปลายถนนแล้วยังมีร้านค้าให้ช็อปปิ้ง กับร้านอาหารให้เลือกกินเต็มไปหมด ราคาสินค้าก็ไม่ได้ถูกนักเพราะภาษีมหาโหด ต้องเข้าร้านที่ให้ Tax refund

ตึกรัฐสภา (ทางขวา) ปิดซ่อมอยู่ซีกนึง
 เดินเลยจากช่วงห้างร้านมาหน่อยก็จะเจอรัฐสภากับกับโรงละครแห่งชาติ ช่วงระหว่างทั้งสองอาคารจะเป็นสวน Eidsvolls plass รอบๆ โรงละครก็จะมีรูปปั้นของนักแสดง - นักร้องชื่อดังของนอร์เวย์ในอดีต
สระน้ำ Spikersuppa อยู่ระหว่างรัฐสภากับโรงละครแห่งชาติ
Nationaltheatret
Kongehuset (Royal Palace)
ส่วนพระราชวังก็ไม่ได้อลังการอะไรมากครับ แถมตอนที่ไปยังปิดซ่อมถนนด้านหน้าอีก เลยอดเข้าไปดูด้านใน แต่สวนหลังวังก็ร่มรื่นดี ตรงสวนนี้จะมีคู่รักมาปูเสื่อนั่งจู๋จี๋กันให้บางคนอิจฉา
สวนหลังวัง เห็นประตูแล้วอาจจะดูเหมือนสวนเล็ก แต่ด้านซ้าย - ขวาจะกว้างมาก
Operahuset (Oslo Opera House)
Operahuset

เดินย้อนจากสถานีรถไฟมาซักสองร้อยเมตรก็จะเจอกับ Opera House อาคารนี้เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของออสโลสมัยใหม่ก็ไม่ผิดนัก เพราะการออกแบบก็โมเดิร์นได้ใจมาก เต็มไปด้วยรูปทรงเลขาคณิต มุมเอียง และมุมฉาก บางวันก็จะมีการแสดงดนตรีหรือบัลเล่ต์ด้วย ซึ่งตั๋วก็ "โคตรแพง"
วิวตอนกลางคืน
มีนกนางนวลเต็มไปหมด
Rådhuset - Aker Brygge
City hall
เดินลงใต้มาจาก National theatre ก็จะเจอตึกคู่ Oslo city hall (Rådhuset) ถัดจากตึกศาลากลางจะเป็นท่าเรือ Rådhusbrygga กับ Aker Brygge ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้ง - ร้านอาหาร - ผับเที่ยวกลางคืนไฮโซอีกจุดนึงของออสโลที่พลาดไม่ได้ (ถ้ามีตัง) ก่อนที่จะเป็นร้านอาหาร - ผับ ตรงนี้เคยเป็น warehouse ของท่าเรือมาก่อน แต่ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ที่ราคาแพงที่สุดของเมืองไปแล้ว

นกเมืองนี้ชอบเกาะหัวรูปปั้น
ตอนกลางคืนผู้คนจะพลุกพล่านสุดๆ
Munchmuseet - Nasjonalmuseet
Cafe Edvard Munch หน้า Munch Museum
สอง Gallery ตอนนี้จัดแสดงงาน Munch 150 ครบรอบ 150 ปีของศิลปินชื่อดังของนอร์เวย์คือ Edvard Munch ครับ ผลงานที่ขึ้นชื่อที่สุดของ Munch ก็คงหนีไม่พ้น The Scream ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น Mona Lisa ของศิลปะยุคใหม่ (ไปดูรูปจริงรูปแม่งเล็กนิดเดียว ขนาดประมาณกระดาษ A3 เห็นจะได้) นอกจากผลงานชึ้นโบว์แดงแล้วเค้าก็ยังวาดงานศิลปะเอาไว้อีกหลายร้อยรูปซึ่งก็จะแบ่งไปจัดแสดงไว้ทั้งสองที่ ถ้าจะเข้าชมทังคู่ก็น่าจะกินเวลาไปเกินครึ่งวัน ที่ Nataional Art Gallery ยังมีผลงานของศิลปินชื่อดังคนอื่นๆ ด้วย ค่าเข้าชม Munch 150 (ตั๋วควบเข้าได้ทั้งสองแห่ง) อยู่ที่ 110NOK ส่วน Art Gallery ส่วนอื่นๆ ชมฟรี

มาถึง Munch Museum แล้วก็ต้องกินเค้กแปะรูป The Scream
ใน National Art Gallery ให้ถ่ายรูปได้ด้วย

Holmenkollbakken
มุมนี้สวยมาก
มองเห็นออสโลได้ทั้งเมือง
พูดถึงกีฬาของประเทศแถบขั้วโลกคงหนีไม่พ้นสกี พอมาถึงก็ไปดูหอโดดสกีมันซะเลยครับ ต้องนั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 ออกไปนอกเมืองหน่อย ลงที่สถานี Holmenkollen แล้วก็ต้องเดินขึ้นเนินไปอีกราวๆ 500 เมตร ก็จะเจอหอโดดสกีโคตรใหญ่ แล้วก็โคตรสูง เคยผ่านการจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวมาแล้วด้วย ค่าเข้าชมก็ประมาณ 120NOK (มั้ง) น่าเสียดายที่คิวยาวไปหน่อย รออยู่ประมาณครึ่งชม.ถึงจะได้ขึ้นลิฟท์ไปดูข้างบน
จากด้านบนมองลงมาจะเห็น Oslo ทั้งเมือง ไม่น่าแปลกใจนักที่ราคาที่ดินตรงบริเวณนั้นจะแพงที่สุดในออสโล ถ้าอยาก excite หน่อยก็มีให้โหนเชือกลงมาด้วย แต่ราคาก็ "โคตรแพง" เช่นเคย ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะประมาณ 800NOK หรือราวๆ 4 พันกว่าบาทสำหรับ 1 คน

สถานี Holmenkollen บ้านทางด้านขวานี่ดูก็รู้เลยว่าราคาแพงสุดๆ
Museum Island
โบสถ์อายุพันกว่าปีใน Folkemuseum
รูปหล่อโลหะหน้า Maritime museum มีนกมาเกาะอีกแล้ว!
ที่จริงเรียกว่าเป็นเกาะก็ไม่ค่อยจะถูกต้องซักเท่าไหร่ เพราะเป็นแหลมที่ยื่นออกมาจากทางตะวันตกของออสโล บนเกาะมีพิพิธภัณฑ์อยู่ 6 แห่ง วิธีไปก็ไม่ยากครับ ขึ้นรถเมล์สาย 30 จาก Jernbanetorget ไปสุดสาย (หรือเกือบสุด อยู่ที่ว่าจะเข้าพิพิธภัณฑ์ไหนก่อนรึเปล่า) หรือไม่ก็ขึ้นเรือข้ามฟากสาย 91 จาก Rådhusbrygga ก็ได้ พิพิธภัณฑ์ที่ผมได้ไปก็มี Norsk Folkemusem, Viking Ship Museum และ Fram museum ค่าตั๋วก็อยู่ระหว่าง 60 - 80NOK
Fram museum
เรือไวกิ้ง
Sognsvann
วันนั้นไปปิกนิก - ปิ้งบาร์บีคิว มีความสุขมาก :)
Sognsvann เป็นทะเลสาบเล็กๆ นอกเมืองทางเหนือของออสโลครับ เหมาะแก่การไปวิ่งจ็อกกิ้ง หรือปิกนิก ปิ้งบาร์บิคิวกินกันมากๆ  เพราะบรรยากาศดีสุดๆ แล้วก็ไม่ห่างจากเมืองเท่าไหร่ด้วย นั่งรถไฟใต้ดินสาย 6 ไปสุดสายก็ถึงแล้ว ไม่เกิน 20 นาทีจากใจกลางเมือง ช่วงเย็นๆ ในหน้าร้อนก็จะมีคนมาทำกิจกรรมกันแถวนี้ ตั้งแต่วิ่งยันว่ายน้ำ ในหน้าหนาวทะเลสาบก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง ลงไปเดินได้!
ถ่ายรูปกับเป็ด
Vigelandsparken (Frognerparken)
สัญลักษณ์ของสวน Frogner
Frogner Park น่าจะเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในออสโล แต่ที่ได้อีกชื่อนึงมาเพราะนอกจากจะใหญ่แล้วยังมีรูปแกะสลัก "เปลือย" ร้อยกว่าชิ้นของนาย Gustav Vigeland ที่แกะสลักหิน/หล่อโลหะเองคนเดียวทั้งหมด! นับว่าเป็นสวนที่ไม่มาไม่ได้ของออสโล

รูปหล่อสัมฤทธิ์ Angry boy ชื่อดัง

รูปอื่นๆ สามารภเข้าไปชมได้ที่ Flickr
บล็อกตอนนี้ยาวมาก เดี๋ยวตอนหน้าจะไปเบอร์เกน!

05 October 2013

One shot. Part 1: Oslo

เมื่อเดือนที่แล้วได้มีโอกาสไปทำงานที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์มาครับ เลยอยากจะบันทึกความทรงจำเอาไว้ซักหน่อย แล้วก็น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับบางคนที่อยากไปเที่ยวที่นั่น

Oslo town hall




ออสโลเป็นเมืองหลวงที่ถือว่าค่อนข้างเล็ก ประชากรทั้งเมืองประมาณ 5 แสนกว่าคน แต่ทั้งประเทศก็มีคนแค่ 5 ล้านเองน่ะนะ สถาปัตยกรรมก็ค่อนข้างจะเก่าและขลัง ตึกในเมืองส่วนใหญ่อายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี อย่างออฟฟิศที่ผมทำงานก็สร้างก่อนปี 1900 โดยจะมีกฎหมายบังคับว่าจะตกแต่งด้านในยังไงก็ได้ แต่ด้านนอกต้องคงรูปลักษณ์ไว้เหมือนเดิม ซึ่งก็ช่วยให้เมืองคง theme เอาไว้ได้ดีมาก มองไปทางไหนก็จะได้กลิ่นอายของศตวรรษที่ 19 ขึ้นมาอยู่เนืองๆ

เอาล่ะ ในเมื่อมาเที่ยว เอ้ย! ทำงาน ก็จะเล่าเรื่องทั่วๆ ไปของนอร์เวย์เท่าที่รู้ซักหน่อย

นอร์เวย์เป็นประเทศในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย คือ 3 ประเทศยุโรปเหนือที่มีประวัติศาสตร์มาร่วมกัน อีกสองประเทศคือ สวีเดน และเดนมาร์ก โดยนอร์เวย์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก รัฐเก็บภาษีมหาโหด แต่สวัสดิการก็ดีสุดๆ เช่นกัน รัฐบาลจะจ่ายเงินดูแลประชาชนเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล หรือแม้แต่ตอนตกงานรัฐก็จัดที่อยู่และเงินให้ และยังถือว่าเป็นประเทศที่มีสิทธิเสรีภาพทางด้านการแสดงออกสูงมาก จนถึงระดับที่เรียกว่า "ขึ้บ่นไปซะทุกเรื่อง" (อันนี้เพื่อนคนนอร์เวย์บอกเอง)

สินค้าส่งออกหลักของนอร์เวย์ นอกจากแซลมอน (ที่จะเห็นธงนอร์เวย์ประดับอยู่ข้างรูปชิ้นซาชิมิแซลมอนทุกทีไป) ก็คงจะเป็นน้ำมันที่สร้างรายได้เข้ารัฐมหาศาล ทำให้งบประมาณประเทศของนอร์เวย์ เป็นสัดส่วนแค่ 2-3% ของรายได้ต่อปี ที่เหลือ? เก็บเข้าธนาคาร อาจจะฟังดูไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่แต่อย่างน้อยเงินก็ไม่หนีไปไหน และเมื่อน้ำมันถูกดูดออกมาจนหมดเงินตรงนี้ก็จะถูกนำมาใช้ไปได้อีกหลายสิบปี

สนามบิน Gardermoen

สนามบิน
ในออสโลจะมีสองสนามบิน แต่จะมีสนามบินหลักที่เดียวคือ Gardermoen Airport อยู่ห่างจากออสโลไปประมาณ 30 นาที ขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ผมชอบระบบเช็กอินอัตโนมัติมาก ร่นระยะเวลาต่อคิวไปได้โข ยึ่งถ้าเทียบกับที่สุวรรณภูมิแล้วคงต้องบอกว่า "สนามบินไทยต้องพัฒนาอีกเยอะ" การเดินทางเข้าเมืองมีสองทาง คือรถไฟด่วนกับรถบัส ซึ่งราคาพอๆ กันคือ 170NOK (แพงสัส) แนะนำว่าขึ้นรถไฟจะเร็ว และสะดวกกว่ามาก

เงิน!
มาอยู่ประเทศที่ค่าครองชีพสูงแบบนี้ เงินเยอะๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ อาหาร เสื้อผ้า ยา ค่าเดินทาง ที่นี่แพงหมด แต่คนที่นอร์เวย์จะไม่พกเงินสดครับ ใช้บัตรเดบิตได้แทบทุกที่ เสียบบัตร กดรหัส เสร็จ โอ้ว! มันสะดวกมากเลยล่ะซาร่าห์!!

ราคาอาหารที่นี่เรียกว่า "มหาโหด" ต้องบอกก่อนว่า ออสโล (รวมถึงนอร์เวย์ทั้งหมด) จะไม่มีร้านอาหารริมถนนแบบในไทย มีแต่ภัตตาคาร ซึ่งกินมื้อนึงก็ไม่ต่ำกว่า 300NOK (ราวๆ 1500 บาท) ฉะนั้นคนท้องถิ่นเค้าจะกินนอกบ้านกันเฉพาะโอกาสพิเศษจริงๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะทำอาหารกินกันที่บ้าน สำหรับพนักงานออฟฟิศ ที่ทำงานส่วนใหญ่จะมีโรงอาหารที่สามารถกินมื้อกลางวันได้ฟรี (ไม่อั้น!) ซึ่งผมก็ใช้วิธีประหยัดตัง (ถึงเค้าจะให้ pocket money มาก็เถอะ) ด้วยการยัดมื้อเที่ยงเอาเยอะๆ นี่แหละ

หมออยู่ไหน?
ที่นอร์เวย์ซื้อยาค่อนข้างลำบากมาก เพราะอะไรที่มีฤทธิ์มากกว่าพาราเซตามอลต้องใช้ใบรับรองแพทย์ และค่ารักษาพยาบาลก็แพงหูฉี่ + คิวโคตรยาวตลอดเวลา (เพราะว่ารักษาพยาบาลฟรี) เพราะฉะนั้นถ้าจะไปเที่ยวก็แน่นำให้พกยาไปเยอะๆ เอาให้เหลือๆ เพราะถ้ายาหมดนี่เป็นเรื่องแน่นอน

รถเมล์ Ruter สีแดงแรงฤทธิ์!

Ruter card ล่องเมือง

การเดินทางในออสโลสะดวกมาก มีทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ รถราง เรือ ค่าตั๋วรายเดือนก็ไม่แพง (ถ้าเทียบกับค่าครองชีพ) 630NOK ซึ่งก็ขึ้นได้หมดทุกอย่าง บัตรแตะ activate แค่ครั้งแรกครั้งเดียว แต่ต้องพกบัตรไว้ทุกครั้งที่ขึ้น ถ้ามีพนักงานมาตรวจแล้วไม่มีบัตรหรือบัตรหมดอายุก็จะโดนค่าปรับ 800 NOK (หรืออาจจะมากกว่า จำเลขไม่ได้) แต่ถ้าลืมจริงๆ ก็ซื้อตั๋วจากมือถือได้เหมือนกัน ซึ่งราคาก็จะมหาโหด (อีกแล้ว) เที่ยวละ 50NOK ราคาตั๋วดูได้ที่นี่

แท็กซี่ ไม่จำเป็นจริงๆ อย่าขึ้น ดูมิเตอร์แล้วอาจจะช็อกได้ ราคาเริ่มต้น 75NOK แต่ความน่ากลัวไม่ได้หยุดแค่ตรงนี้ เพราะแค่วิ่งไปไม่กี่กิโล มิเตอร์ก็พุ่งไปเกือบ 200NOK แล้ว ยิ่งถ้าขึ้นตอนกลางดึกนี่จะแพงขึ้นอีก 50%

อาณา-จักรยาน
การใช้จักรยานเดินทางไปไหนมาไหนก็เป็นเรื่องปกติ เลนจักรยานก็เห็นได้ทั่วไป คนปั่นเต็มไปหมด เมืองไม่ใหญ่ ปั่นข้ามไปอีกฝั่งของเมืองได้ไม่เกินครึ่งชม. รถก็น้อย อากาศก็สะอาด มันช่างเป็นเมืองที่เหมาะแก่การปั่นจริงๆ

ในออสโลมีสถานีจักรยานสำหรับเช่าปั่นกระจายอยู่ คือสามารถทำให้ปั่นไปไหนมาไหนสะดวกขึ้นมาก แค่แตะบัตร ให้เวลาปั่น 3 ชม. แล้วจะเอาไปจอดที่สถานีไหนก็ได้ สะดวกมากๆ แต่ไม่แน่ใจว่าบัตรราคาเท่าไหร่ เพราะบริษัทผมซื้อบัตรมาให้ หารายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเว็บนี้

เริ่มยาวละ เรื่องเที่ยวเอาไว้วันพรุ่งนี้แล้วกัน